บุคคลทำความดีแล้วยังไม่ได้รับผลดี

 
พิจารณาธรรม วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
เวลา ๒๓.๒๗ น.
 

                เป็นเพราะเหตุไร?  เป็นเพราะต้องทำความดีใช้หนี้ความดี! หรือทำความดีใช้หนี้ความดีเก่า หรือกรรมเก่าที่เคยฆ่าความดีเขามา!  เคยขโมยความดีเขามา!  เคยประพฤติผิดความดีเขามา!  เคยหลอกลวงความดีเขามา  เคยหลงมัวเมาเอาความดีของเขามาเป็นของตน!

 

                หรือเคยตัด ฆ่า บั่นทอน ตัดทอนความดีของผู้อื่นมา!  หรือเคยขโมยวิชาความรู้ ความสามารถ วิชาความดีของผู้อื่นมา!  หรือเคยทำลายความรัก ความปรารถนาดีของผู้อื่นมา!  หรือเคยโกหก หลอกลวง ผู้ปฏิบัติ ผู้กระทำความดีมา!  หรือเคยมัวเมา ทำให้เป็นอันตรายแก่ความดีทั้งหลายทั้งปวงมามาก! จึงเป็นผลกรรมวิบากกรรม  ทำให้ทำดีแล้วไม่ได้รับผลดี คุณความดีจึงยังไม่ให้ผล

 

                ฉะนั้น เมื่อทราบผลกรรมเป็นเช่นนี้  อันใครๆ บุรุษและสตรี พึงอย่าได้ท้อถอย ในการสร้างหรือทำคุณความดี ใช้หนี้กรรมเก่า วิบากกรรมเก่า จนกว่าความดีจะมากพอ ชดเชยล้างหนี้ เปลื้องหนี้ได้แล้ว ดอกผลของกรรมดีที่หมั่นสร้าง หมั่นทำ ก็จะมีผลตามหน้าที่ ต่อนั้นก็คงมีความรู้ซึ้งของกรรมทั้งดีและไม่ดี ที่เคยข่มเหงกดขี่ รังแก กลั่นแกล้ง  ประทุษร้ายผู้อื่น ที่ควรยกย่อง สรรเสริญ ให้ได้ตำแหน่ง หน้าที่ หรือควรได้รับคุณความดี ก็จะเลิกอิจฉา เลิกความตระหนี่ เลิกพยาบาทปองร้าย เลิกพูดให้ร้าย ที่จะทำคนดีๆ ให้กลับกลายเป็นคนเลว เลิกเอาความดี ความชอบของผู้อื่นมาเป็นของตน เลิกเบียดเบียนตน และคนอื่นได้ เท่านี้ก็เป็นคนดีได้แล้ว เป็นคนดีได้แล้วก็เริ่มมีเมตตา เริ่มมีกรุณา เริ่มมีมุทิตา เริ่มมีอุเบกขา เริ่มให้ทาน เริ่มรักษาศีล เริ่มปฏิบัติ ภาวนา ก็เริ่มเจริญขึ้นด้วยความสุข

 

                ชนส่วนมากไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติศีลธรรม กับครูผู้รู้ทั้งหลาย จึงต้องมีความเข้าใจผิด น้อยเนื้อต่ำใจ ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี คนทำชั่วกลับได้มีความสุข คนทำชั่วรู้ตัวอยู่ที่ใจ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่เป็นสุข ผู้ไม่รู้เห็นก็เข้าใจตามสภาพป็นอยู่ ว่าอยู่สุขสบาย มีเกียรติ เชิดหน้าชูตา  มีศักดิ์ มีศรี ผู้รู้อยู่ใกล้ชิด เห็นรูปร่างซูบซีด ลักษณะบ่งบอกมีทุกข์ มีกังวล สีหน้าหม่นหมอง อดหลับอดนอน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มักโกรธ หงุดหงิด ทำโทษกลั่นแกล้งผู้ใกล้ชิดอยู่เสมอ จิตไม่ปกติ กรรมชั่ว ความผิดเผาใจอยู่เสมอ รำคาญ กระสับกระส่าย เดือดร้อน  ถ้าได้เห็นรูป ถ้าได้ฟังเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส มีธรรมารมณ์อันใดอันหนึ่ง ก็มีใจระลึกถึงเรื่องราวในอดีต ที่ได้ทำมาแต่ก่อน ก็เป็นเหตุให้สะดุ้ง หวาดเสียว  ผิดปกติด้วยกรรมสังหรณ์ให้เป็นไป จึงมีความปกติสุขไม่ได้ อย่าได้เห็นเป็นดีงามตามคนทำชั่วเลย

 

                ผู้ปราศจากเมตตา ผู้ปราศจากกรุณา ผู้ปราศจากมุทิตา ผู้ปราศจากอุเบกขา ความปราณีไม่ปรากฏ จึงเป็นกรรม จึงเป็นวิบากกรรมส่งผลให้ได้รับกรรม ในอัตตภาพนี้เป็นส่วนมาก เรียกว่าอยัมภะทันตา ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส เช่น อดอยาก ยากแค้นแสนเข็ญ ไม่มีผู้เมตตา กรุณา ไม่มีข้าวปลาอาหารกิน ไม่มีผ้านุ่งห่ม ไม่มีบ้านเรือนอาศัย เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีหมอ ไม่มียา ต้องทนฝนทนหนาว ได้รับภัยอันตราย ถูกฆ่า ถูกทำร้าย ถูกลักเงินทอง ข้าวของทั้งหลาย ถูกปล้น ถูกจี้ ถูกข่มขืนชำเรา ถูกหลอกลวง ถูกมอมเหล้า ติดยา เข้าขั้นหลงผิด ยิ่งทุกข์ยิ่งจน ทำชั่วลามก ขัดสนวิบัติ เสียหาย ขายตน ทำบาป อกุศล ผิดศีล ผิดธรรม ชั่วเลว ต่ำทราม ได้รับทุกข์ ได้รู้ทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ ทราบเหตุแห่งทุกข์ ตัณหา ความอยาก มรรค หนทางเป็นธรรมพิจารณาประจำ ความทุกข์หายไป นิโรธ ความดับซึ่งทุกข์ รู้แจ้งตัณหา ใครมีปัญญา แกล้วกล้าทุกคน

 

                ผู้ที่ยอมผิดศีลธรรม เป็นผู้ทำร้ายศีลธรรม บิดเบือนพระธรรม ไม่เคารพพระธรรม แสดงธรรมไม่เป็นธรรม แสดงวินัยไม่เป็นวินัย  เป็นภัยอันตรายต่อการปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดกระแสกรรม ทำให้เกิดสัทธรรมปฏิรูป ทำให้มรรคผลเสียไป เป็นผู้ทำลายมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ สงสัยเอาเทวทัตเป็น ครู ลบหลู่พระธรรม จึงได้รับทุกข์เวทนา จึงได้รับทุกข์อันยิ่งใหญ่ ไม่มีใครเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นที่น่าสลดสังเวช ของผู้ทำความดี เขาเหล่านั้นจึงมีอุเบกขา วางเสียในสถานที่

 

รู้สึกตน! ก็หมั่นทำบุญสร้างกุศล  ปฏิบัติตนยึดมั่นใน อยู่ในคุณความดี แผ่เมตตาไมตรี ปรารถนาดี แผ่ไปทั่วแสนโกฏิจักรวาล ฝึกหัดทำพระกรรมฐาน ยืน เดิน นั่ง นอน ให้ถูกต้องตามพระธรรม ถือศีล ปฏิบัติธรรม ให้จิตใจชั่ว ลด น้อยถอยลง จนระงับดับหาย  ได้เคารพบูชา กราบไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า  พระสงฆ์เจ้า เพิ่มพูนคุณความดีทั้งหลายจะได้พ้นทุกข์ พ้นอันตราย พ้นความวิบัติฉิบหายทุกประการ

 

                จะเป็นผู้สมบูรณ์ บริบูรณ์ ด้วยรัตนชาติทองเงิน ข้าวของทั้งปวง ข้าวปลาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย  ปราศจากโรคภัย  สมบูรณ์เภสัชนานา มีทาน มีศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน  เมตตา อุเบกขา วิมุตติ มรรค ผล นิพพาน  ใช้หนี้ความดีเขาหมดแล้วก็เท่ากับฝึกจิต นิสัย ให้เป็นผู้ทำดี มีความดี เป็นผู้ชำนาญในการทำดี  ความดีจักช่วยอำนวยผล ให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ

 

                สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกว่า อำนาจ หมอ ยา เมตตา พระปริต ช่วยไม่ได้ บุคคลผู้มีบุพพกรรมทำไว้ในปางก่อน เช่น ทำโลหิตุบาต ยังพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อขึ้น ๑  ทำสังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน  อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์  ปิติฆาต ฆ่าบิดา มาตุฆาต ฆ่ามารดา  อริยุปปวาท ด่าพระอรหันต์ ทั้ง ๖ อย่างนี้ ผู้ใดทำกรรมเหล่านี้ แม้เพียงหนึ่ง  ตายลงเข้าถึงอเวจีมหานรก ถึงจะสร้างความดี มากมายเพียงใด ตายแล้วต้องไปเสวยกรรมในอเวจีมหานรกก่อน เพราะกรรมเหล่านี้ขุดรากเหง้า คุณความดีทั้งหมดทิ้ง เหมือนไม้ใหญ่ มีดอกผลเต็มต้นถูกขุดรากทิ้งหมดแล้ว ทั้งต้นผล ดอก ใบ ก็เสียไปฉะนั้น

 

                หรือถ้าอดีตกรรม ทำอันตราย ทำร้ายพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญ สั่งสม พุทธการกธรรม บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศน์ ด้วยการฆ่า – ลักทรัพย์ – ประพฤติผิดในกาม – มุสาวาท –เมาสุราอาละวาด ทำให้เกิดอันตรายแก่การบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศน์ ทำตนให้เป็นข้าศึกแก่พระองค์มา เช่น พระเทวทัต และครูทั้ง ๖ เป็นต้น

 

                ทำอันตราย ประทุษร้าย พระภิกษุ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม ทรงมรรค ผล นิพพาน ทรงคุณความดีต่างๆ จะเป็นผู้เสียจริต เสียจิต เป็นโรครักษาไม่หาย ตายเร็วพลัน ต้องราชอาญา ฟ้าผ่าลงโทษ จิตฟุ้งซ่าน เป็นพระก็ต้องอาบัติหนัก หรือต้องปาราชิก คือต้องสึกเป็นฆราวาส ไม่สามารถประพฤติ ปฏิบัติธรรม พรหมจรรย์ ตลอดไปได้ ศรัทธาไม่ตั้งมั่น ธรรมวินัยไม่มี ตายแล้วตกนรก  เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นมนุษย์จิตฟุ้งซ่าน ฟังธรรมไม่เข้าใจ ปฏิบัติกรรมฐานไม่เกิดมรรค ผลไม่มี ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระธรรมไม่ซึมทราบรักษาใจ

 

                เป็นผู้มีใจเหี้ยมโหด ไม่มีเมตตาปราณี ไม่มีกรุณาสงสารเห็นใจ ไม่มีมุทิตาพลอยยินดีกับใคร อุเบกขาวางเฉยไม่ได้ เป็นโจรใจร้าย เป็นสัตว์ดุร้าย เป็นผีอันธพาล เป็นคนมืดบอด เป็นคนมีกิเลส ตัณหาหนาแน่น มีความโลภเป็นปกติ มีความโกรธเกินธรรมดา มีความหลงอย่างงมงาย มีมานะแข็งกระด้าง เป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ร่างกายทุพพลภาพ  มักเป็นคนวิกล ตาบอดหูหนวก เป็นใบ้ มาแต่เกิด กิริยาไม่ดี จิตทราม ลามก มักมีอันเป็นไปต่างๆ เพราะไปทำลายสุปฏิบัติของท่าน ทำให้เกิดชาติใหม่ ภพใหม่ ก็มีอันเป็นไปทุกครั้ง

 

                ทำให้เป็นคนไม่มีสัจจะ ซื่อตรง เพราะไปทำลายอุชุปฏิบัติของท่าน! ทำให้เป็นผู้ไม่มีสุจริตธรรม  เพราะไปทำลายญายะปฏิบัติของท่าน! ทำให้เป็นผู้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ทำให้ถูกนินทา ทำทุกข์ให้เกิด เกิดคดีความ เกิดความร้ายไม่ดีต่างๆ  เพราะไปทำลายสามีจิปฏิบัติของท่าน!

 

                ผู้มีอันเป็นไปถึงขนาดนี้แล้ว ยังมีผลกรรมต่อเนื่องไปอีก ไปอยู่ที่ใดไม่มีใครเมตตา ไม่มีใครกรุณาสงสาร ไม่มีใครมุทิตาพลอยยินดี ไม่มีใครอุเบกขาอโหสิ ไปหนใดไม่มีใครต้อนรับ สงเคราะห์ อนุเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ไม่เป็นที่พึงปรารถนากลับจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ถูกไฟไหม้ น้ำท่วม แผ่นดินไหว แผ่นดินทับ ลมไต้ฝุ่นพัด มีอันตราย มีเคราะห์กรรมไม่มีสิ้นสุด  เป็นผู้มีบาปติดตัว ใครยุ่งเกี่ยวช่วยเหลือ พลอยมีอันเป็นไป ตกทุกข์ได้ยากตามผู้นั้น เป็นผู้ถูกสาปแช่ง มีเสนียดจัญไร ไม่มีความสงบ หาความสุขมิได้ ใครเป็นพวกพี่น้องวงศ์วาน ต้องพลอยวิบัติ ฉิบหายตามผู้นั้นไปด้วย

 

                การจะแนะนำสั่งสอนใครได้ต้องเป็นผู้รอบรู้ ปฏิบัติดี ได้ผลดี ประจักษ์ใจ ได้ความดี ชนิดรู้จริง เห็นแจ้ง

 

พวกนักบวช  ฤษีได้ผ่านทุกข์และทรงความดี สละห่วงผูกพัน ละอารมณ์ที่เป็นข้าศึกกับความสงบได้ แล้วเป็นผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ย่อมผ่านทุกข์ อุปสรรคมาก จึงเป็นผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักดับทุกข์ รู้การปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ เป็นผู้ปฏิบัติชอบในธรรม ตลอดถึงพรหมเทพเทวา ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาก่อน ผู้ทรงความดีมาก่อน  ย่อมเป็นผู้รู้ตามเห็นตามเป็นจริง ผู้ใดลบหลู่ดูแคลน อาจแพ้ภัยไปเอง จะเป็นผู้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ได้ทุกข์ ถูกนินทา

 

                เพราะท่านเหล่านั้น พรหมเทพเทวาเหล่านั้น  ย่อมมีหิริโอตัปปะ เป็นผู้มีความปรารถนาดีต่อโลก ต่อมนุษย์  และสรรพสัตว์ทั้งหลาย  ถ้ากล่าวร้ายป้ายสี ทำให้มีทุกข์ด้วยประการใด จะได้รับโทษเป็นผู้เสื่อม

 

                ด้วยประการทั้งปวง เสื่อมทั้งผิวพรรณ วรรณะ เสื่อมอายุ เสื่อมสุข เสื่อมสิริ เสื่อมทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ถึงซึ่งความเป็นคนหลงโง่เขลา ปราศจากญาติ มิตรสหาย ครอบครัวแตกแยก หมดอายุ ถึงตายก็เข้าอยู่อบาย นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน

 

                ผู้ที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่มีศรัทธา เป็นผู้เสื่อมความดีอันควรแก่ได้ เป็นผู้ทำตนของตนให้ห่างไกล จากคุณงามความดี ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ในพระธรรมวินัย ก็อุเบกขาวางเฉย  นอกนั้นคงได้ไปอยู่กับผู้มีความ  เห็นผิดเช่นเดียวกับตน พอใจที่จะได้ทำบาป รวมตัวกันเป็นหมู่เป็นคณะ แก๊งความเห็นผิด หลบหลีกไม่สังคมสมาคมกับผู้รู้ทั้งปวง  “อยู่บ้านเมืองควรรู้ศึกษา สรรพวิทยาการ อยู่ป่าอยู่เขาลำเนาไพร ควรฝึกหัดปฏิบัติธรรม”

 

            ผู้ไม่มีศีลธรรม ความดี มักมีใจอิจฉาพยาบาท มีความอาฆาตรุนแรง เป็นผู้มีใจตระหนี่ มีใจคับแคบ เป็นผู้น่ารังเกียจ ของผู้รู้ทั้งหลาย ตกทุกข์ได้ยาก มีความเดือดร้อนเพราะกรรมของตน  จึงค่อยนึกคิดถึงพระพุทธศาสนา ก็สายเสียแล้ว ไม่มีกำลังเสียแล้ว ได้ทำความดีเสียไปแล้ว จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้พบเห็นคุณความดี ไม่ได้พบผู้มีคุณความดี ย่อมฆ่าสัตว์ ฆ่าคน เพราะความทุกข์บ้าง ย่อมขโมยทรัพย์สินสมบัติ ด้วยความทุกข์บ้าง ย่อมประพฤติผิดบุตรภรรยา สามีเขาด้วยความทุกข์บ้าง ย่อมโกหก หลอกลวงเขาด้วยมีความทุกข์บ้าง ย่อมดื่มสุราเมรัยด้วยมีความทุกข์บ้าง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ ก็เจริญขึ้นมาก

 

                ความไม่รู้คุณค่า พระพุทธศาสนา ไม่รู้ธรรมเห็นธรรม จึงมีอันเป็นไปด้วยประการต่างๆ มีผลต่อการกระทำกรรมนั่นเอง จะทำคุณความดีก็มีอุปสรรคอันตราย เป็นวิบากกรรม  เคยแกล้งผู้อื่น ทำให้เขาผิดหวังด้วยสัญญาไม่จริง เสียใจจนฆ่าตัวตายบ้าง ทำให้เขาลำบากยากแค้นบ้าง ทำให้เขาสิ้นเนื้อประดาตัวบ้าง  หมดตัว ต้องเป็นโจร เป็นขโมยบ้าง ทำให้เขาเป็นหม้าย เป็นชู้บ้าง ทำให้เขาต้องเสียสัจจะ เป็นผู้หลอกลวงบ้าง ทำให้เสียศีล เสียสมาธิ เสียปัญญาบ้าง ทำให้ติดเหล้าเมายาบ้าง ทำให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ทำมรรคผลเขาให้เสียไป ทำสติปัญญาให้เสีย ทำความเป็นอยู่ให้เสีย ทำความสามัคคีให้เสีย ทำสมบัติให้เสีย ทำความรักให้เสีย ทำกำลังใจให้เสีย

 

                ดวงใจเขาต้องทุกข์ระทมขมขื่น เป็นกรรม เป็นวิบากกรรม เป็นเศษกรรม  ช่วยทำ กระหน่ำ ซ้ำเติมมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายให้ต้องทนทุกข์ยากลำบาก  มากมาย เป็นกรรมเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติกฎตายตัวของผู้ทำกรรมไม่ดีไว้ จึงมีผลกรรม ผลวิบากกรรม  ผลของเศษกรรม ให้ผู้รู้ทั้งหลาย ยกขึ้นเป็นอุทาหรณ์สอนใจ แนะนำพร่ำสอนให้ละเว้นกรรมชั่วทั้งปวง ห้ามการทำบาปทั้งปวง เป็นการห้ามทำความผิดทั้งปวง เป็นการเร่งรัดให้ทำความดีทั้งปวง เป็นการทำกุศลให้ถึงพร้อม เป็นการทำให้ใจบริสุทธิ์ ขาวรอบด้วยธรรม คือขันติ อดกลั้นอดทน  ไม่ทำบาปทั้งปวง ! อดกลั้นอดทนทำความดีทั้งปวง ! อดกลั้นอดทนทำใจให้บริสุทธิ์ด้วยขันติ ความอดทนนี้ จนวิมุติ หลุดพ้นทั้งปวง

 

                จนบังเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ! ไม่ทำผิดคิดร้ายกับใครๆอีก อภัยทานให้กับผู้ล่วงเกิน เพื่อยุติกรรมเวรทั้งหลาย ด้วยกาย วาจา ใจ เพื่อยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่มนุษย์ สัตว์ พรหมเทพเทวาทั้งหลาย มีความสงบระงับจิต ปราศจากชั่วเลว ติดตามไปยังชาติหน้า ภพหน้าอีกเลย หมั่นสั่งสมอบรมบารมีทั้งหลาย  ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ประพฤติเนกขัมมะ ใช้ปัญญา มีวิริยะ มีขันติ มีสัจจะ มีอธิษฐาน มีเมตตา มีอุเบกขา จนสมบูรณ์ ด้วยวิมุติ หลุดพ้น กรรม หลุดพ้นเวร ไม่ต้องเวียนตายเวียนเกิด มาใช้หนี้กรรม หนี้เวรที่ตนทำไว้ ให้อโหสิกรรม อโหสิเวร ให้อภัย  มนุษย์สัตว์ พรหมเทพเทวาทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งที่เป็นอริยะและไม่ใช่อริยะ

 

                แม้กรรมและเวรใดที่เคยล่วงเกินด้วยกาย วาจาใจ ทั้งต่อหน้าลับหลัง ต่อมนุษย์ สัตว์ พรหมเทพเทวา ทั้งที่เป็นอริยะ มิใช่อริยะ ตั้งแต่อดีตชาติ อสงไขยชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ  มากกว่า ๑๖ อสงไขยแสนกัลป์ จงโปรดอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า พระนพพร อาทิจจวํโส พร้อมคณะศิษยานุศิษย์  ทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ จนเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

 

                “เมื่อบริสุทธิ์จากความดีและความไม่ดีแล้ว อนัตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน ก็หลุดพ้นจากความยึดเหนี่ยวให้เป็นตัวเป็นตนอย่างเดิมไม่ได้ เพราะบริสุทธิ์อย่างเต็มที่แล้วนั่นเอง จึงบริสุทธิ์จากอนัตตาไปด้วย เพราะอนัตตามีอำนาจในวัตถุธาตุ และรูปธรรม กลายเป็นสสาร พอเป็นพลังงานแล้วก็บริสุทธิ์

 

                สูตรทำของไม่ดีให้เป็นของดี อนิจจัง  ทำของที่ดีแล้วให้บริสุทธิ์จากอนัตตา คือ ทำอนัตตาให้บริสุทธิ์  พ้นสภาวะจากอัตตาและอนัตตา”

 

 
พิจารณาธรรม วันจันทร์ที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๑
 
เวลา ๐๒.๒๒ น

 

Share