ธรรม สติระลึกถึง ธรรม  เอาสติมากำหนดรู้ธรรม เห็นธรรม  ติดตามธรรม  เพื่อระลึกตามธรรมได้ตลอดเวลา เมื่อธรรมอันเป็นธรรมดาหรือธรรมชาติที่จิตมาอาศัยเกิดดับ พระองค์ก็ทรงสอนให้จิต เอาสติมาระลึกดูธรรม ดูจิตให้รู้ว่าธรรมมาเกิดที่จิตนั้นเป็นธรรมชนิดไหน เป็นกุศลหรืออกุศล  เอาจิตเอาสติมาแยกแยะธรรม ดูธรรมเห็นธรรม รู้ธรรมแล้วเลือกปั้นธรรมให้เหลือธรรม เอกจิตเอกธรรมหนึ่งจิตหนึ่ง ธรรมว่างจิตว่าง ธรรมเป็นจิตจิตเป็นธรรม รวมธรรมรวมจิต รวมรู้ลงไป สู่ฐานธรรมฐานจิต สงบแน่วเป็นอัปปนาสมาธิ เงียบหายไปทั้งธรรมทั้งจิต จิตถอนขึ้นมารู้ธรรม กำหนอธรรม ดูธรรมว่าทำไมธรรมจึงก่อทุกข์ก่อโทษให้จิตไม่ว่าง ให้จิตเป็นภาระรับรู้ทราบอยู่ทำไม

 

                ธรรมนั้นได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒  อริยสัจ ๔  ธาตุ๔  อินทรีย์ ๒๒  ปฏิจจสมุปปบาท ๑๒  นี้แหละเป็นของจิต สืบเนื่องกับจิต จิตมีธรรมเหล่านี้ อาศัยธรรมเหล่านี้แล้วมีมานะทิฏฐิ  สำคัญผิดเห็นผิดว่าเป็นตัวเป็นตนเสีย ไม่ได้พิจารณาดูธรรมเห็นธรรมรู้ธรรมจึงหลงธรรมติดในธรรมเหล่านี้  เมื่อธรรมเหล่านี้ถูกสติเพ่งระลึกรู้อยู่เสมอ ก็หวั่นไหว แสดงธรรมความไม่เที่ยงให้ปรากฏ แสดงทุกข์ให้รู้แสดงอนัตตาว่าข้าคือธรรมไม่ใช่จิต เจ้าจิตมาหลงข้าเอง ข้าไม่รู้ด้วย ข้ามาอาศัยจิตทีไรเห็นจิตเอนเอียงต้อนรับข้าทุกที ข้านี้เป็นธรรมของโลก โลกนี้เป็นธรรมดาของข้า ข้าเป็นธรรมคู่กับโลก เพราะจิตไม่เจนโลกเอง จึงไม่ทันโลก ไม่รู้มายาของโลก จึงหลงโลก ติดโลก จิตโง่ซ้ำอ่อนวัยไม่แข็งแรงจึงถูกธรรมดาหรือธรรมชาติ ครอบงำ  พ่ายแพ้ต่อธรรมชาติหรือธรรมดาของกิเลสโทษของข้าไม่มี ต้องโทษจิตเอง เพราะมาวุ่นวายกับข้า ข้ามันชอบเล่นไม่จริงไม่จังกับใคร ใครมาเล่นกับข้าแล้วเป็นหลงข้าติดใจข้า เห็นเป็นทุกข์บ่นเพ้อร่ำไรรำพันคิดถึงแต่ข้า แต่ข้าเล่นไม่นาน เห็นเจ้าจิตหมดกำลังแพ้ข้าทุกที แต่เจ้านี้มีลูกเล่นเอาสติมาล่อดูคอยกำหนดระยะให้มาชนแล้วก็จับข้ามาแยกแยะ จนข้าหมดกำลัง หมดสภาพความแข็งแรง หมดมายาสาไถย  ล่อยังไงจิตก็ไม่เล่นกับข้าด้วย คอยจ้องเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อข้า ข้าเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะกลัวและยังถูกอำนาจจิตบังคับทรมาน ข้าทนไม่ได้ก็ต้องยอมรับสารภาพออกมาจิตยังไม่พอใจเอาข้าไปประกาศ ประจานว่าร้ายป้ายสี จนข้าหมดอิสรภาพจนเรารู้ทั่วกัน ถึงเขาไม่ฆ่าข้า ข้าก็อับอายไม่ค่อยกล้าเข้ามาเล่นมาหัวกับพวกนี้ ข้าก็เลี่ยงไปหาพวกอื่นต่อไป ใครรู้จักกิเลสข้าแล้วข้าก็ไม่เข้าใกล้ ข้าก็ไปหาคนอื่น  ผู้อื่นสัตว์อื่นต่อไป พวกพ้องพี่น้องวงศ์วานข้าราชบริพารคนรับใช้ของข้ามีมาก ส่วนมากแล้วไม่ค่อยจะมีใครมารู้ธรรมดาธรรมชาติของข้า ต้องล้มหายตายจากเพราะทุกข์รำพันต้องการข้านับภพนับชาติไม่ได้ เป็นกัปป์กัลป์เป็นอสงไขยกัลป์  นานแสนนานจึงจะมีผู้รู้จักข้าสักคนหนึ่ง และก็เป็นเพียงยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเท่านั้น ที่ข้าต้องห่างไกล พอผู้รู้หมดไปสิ้นไป ข้าก็แอบเข้ามา เอาพวกไม่รู้มาเป็นบริษัทบริวารข้าอีก ข้าเป็นใหญ่แต่ผู้เดียว ข้าครองโลกแต่ผู้เดียว ในวัฏฏะจักรนี้ ในวัฏฏะจักรนี้น้อยเทาน้อยหนักหนาที่ใครจะพ้นอำนาจของข้า ต้องประกาศก้องเป็นศัตรูกับข้า ต้องการพ้นจากบ่วงทรมานของข้า ต้องตายเพราะข้าทรมานมานับภพชาติไม่ได้ ต้องบริจาคทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยา ไร่นา เรือกสวนบ้านช่องเรือนชาน เพื่อหนีข้านั้นนับภพชาติไม่ได้ กระดูกเนื้อสูงเป็นภูเขาเลือดและน้ำตามากกว่า ๔ มหาสมุทร  กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้พ้นชอบจากอำนาจของข้านั้น ต้องทนทุกข์ทรมานตลอดกาลนานนัก  ใครที่จะเป็นบริษัท บริวารของพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติบริจาคอย่างพระพุทธเจ้านั่น และกว่าจะได้เป็นสาวกพุทธะก็ต้องเวียนตายเวียนเกิด รับทุกข์ทรมานตลอดกาลแสนกัลป์เป็นอย่างน้อย พวกเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เห็นด้วยกับพระพุทธเจ้านั้นมากมายสุดคณานับ ประหนึ่งขนโคกับเขาโคฉะนั้น


                เขาต้องรับทุกข์รับโทษในการเป็นบริวารข้า เป็นศัตรู พระพุทธเจ้านั้นไม่มีกำหนดกาลเวลา ตลอดกาลเท่านานนัก ท่านอย่าไปสนใจกับเขาเหล่านั้นเลย ก็เขาเหล่านั้นเคยเป็นมารดา บิดา บุตร ภริยาของเราบ้าง เป็นญาติพี่น้องบ้าง ก็เป็นธรรมดาจะต้องนึก จะเอาประโยชน์สุขพ้นทุกข์แต่ผู้เดียวก็หาสมควรไม่ เพราะเขาเหล่านั้นเคยมีพระคุณ มีอุปการคุณมากแก่เรา ก็แล้วแต่ท่าน ใครจะเชื่อท่านหรือไม่เชื่อท่านก็เป็นความเห็นของเขา ถ้าเขาเคยตั้งจิตเจตนา  ประพฤติปฏิบัติมาเช่นเดียวกับท่านพอมีทาง ถ้าไม่เคยก็เป็นการยาก บางคนอาจลบหลู่พระคุณท่าน อาจทำให้ท่านต้องลำบากใจได้  แต่เราก็จะพยายามดู ถ้าไม่ไหวก็ให้เป็นเรื่องของกรรม  เราก็ไม่เสียใจเพราะได้พยายามแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับเอาก็ช่วยไม่ได้อยู่เอง เราก็ไปตามหน้าที่ของเรา พ้นหน้าที่ก็พ้นภาระ พ้นภาระก็พ้นธรรมดาของโลก พ้นธรรมชาติของโลกก็เป็นอิสระ เป็นไปตามธรรมวิมุติ จิตวิมุติ คติวิมุติ  พ้นจากทางมีข้าศึก อยู่เป็นอิสระไปไหนไปได้ เข้าไหนเข้าได้ ใจปลอดโปร่งเย็นสบาย เมื่อสติระลึกรู้ดูธรรมชาติหรือธรรมดาว่าธรรมอาศัยจิตจิตก็อาศัยธรรม ไม่มีธรรมก็ไม่มีจิต รวมธรรมรวมจิตรวมรู้เข้าไปในรู้ จนรู้ละๆๆๆๆ  ธรรมจะเกิดอยู่เป็นอยู่ก็เพราะจิต จิตจะมีความรู้ความเข้าใจธรรมเพราะมีสติ สติเป็นตัวกันจิตแยกธรรมแยกจิต พิจารณาดูรู้ธรรมชาติธรรมดาของจิตของธรรม ละจิตละธรรมออกจากสมมติ ออกจากธรรมดาหรือธรรมชาตินี้ได้ จึงเป็นอันว่าอาศัยสติสัมปชัญญะปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พ้นจากธรรมดา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา  พ้นจากธรรมชาติที่เป็นทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา  เป็นจิตวิมุติ คือ หลุดพ้นจากธรรมชาติธรรมดานั่นเอง  เอวํ


                “จิตผ่องใส ขณะผ่องใสไม่มีคำว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรม เพราะกุศลและอกุศลหรือบุญหรือบาปนั้นเป็นธรรมชาติหรือธรรมดาเท่านั้น ขณะนั้นเวลานั้นจึงพ้นจากธธมชาติหรือธรรมดานี้แล้วนี้แล้ว”

Share