รวมธรรมะของท่านอาจารย์นพพร อาทิจจวํโส
“สิ่งใดที่เป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็เป็นโลก สิ่งใดเป็นโลก สิ่งนั้นก็แตกดับเป็นธรรมดา ถ้าเรายึดธรรมดาเป็นเครื่องอยู่ ก็คงรับสุขรับทุกข์บ้าง ต้องอาศัยธรรมวินัยเป็นเครื่องบ่งชี้ เป็นแนวทางที่ได้มาแห่งปัจจัย 4 ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้ปัจจัย 4 ก็เป็นเหตุให้เกิดสุข ทุกข์ อย่างโลก ต้องใช้ปัญญาพิจารณาคุณ-โทษของปัจจัย 4 แล้วถือเอาเท่าที่จำเป็น สิ่งใดที่เกินจำเป็นล้วนให้ทุกข์ ถือเอาตามควรแต่พอดี เว้นละบรรเทาเสีย อดกลั้นได้เป็นดีที่สุดแห่งทุกข์”
“ เพราะละความปรารถนาเสียได้เป็นสุข สุขเช่นนี้เป็นที่ต้องการของสมณะผู้สงบ เพราะความสงบปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ตัณหา ยินดีพอใจได้ยาก เพราะไม่ได้รับความสนุกความเพลิดเพลินจากรูป กลิ่น เสียง รส โผฏฐัพพะ สัมผัสทางเนื้อหนัง หลงอยู่ในรูปธรรมภายนอก ครั้นรูปธรรมเสื่อมสลาย ตาย หรือจาก พ้นวิสัยให้กลับคืนคงที่ ดีเหมือนเดิมไม่ได้ก็ตกอยู่ในห้วงมหันตทุกข์”
“ควรแล้วหรือที่จิต นามธรรมจะหลงรูปธรรม อันแตกดับเป็นที่พึ่งอาศัย รูปธรรมนี้ทำให้ต้องดิ้นรน เดือดร้อน เพราะความต้องการปรารถนา เหมือนกับหาโทษมาสุมจิตใจ จนหาความสุขใจไม่ได้ เพราะความเคยชินทางโลกโลกีย์ จึงหาความสงบจากโลกโลกีย์ไม่ได้ จึงต้องเข้าหาธรรมวินัย อันเว้นละห้ามสิ่งอันเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ ละความอยากที่เรียกว่าตัณหาเสียได้เป็นความสุขอย่างยิ่ง”
วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 อาตมาบิณฑบาตเสร็จแล้วมากุฏิ เก็บบริขารเสร็จแล้วเดินจงกรม ขณะเดินมีความรู้ปรากฏขึ้นในจิตว่า “จงมีธรรมเป็นอาหาร จงมีธรรมเป็นเครื่องนุ่งห่ม จงมีธรรมเป็นเครื่องอยู่อาศัย จงมีธรรมรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เรียกว่าธรรมโอสถ”
สมาธิทรงตัว คือ ความสงบ
ปัญญาทรงตัว คือความรู้ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
รัก ----------> ตามลักษณะของ “กฎแห่งสมดุลย์” ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
รัก----------->ตามลักษณะของ “กฎของความยุติธรรม” คือ ความเสียสละ
ถ้าเรารักเมตตาผู้อื่น ก็รักแต่พอดีที่ต้องการรัก รักนั้นจะสมดุลย์พอดี (เฉพาะตัวเรา) คือ รักเฉพาะตัวจะสมดุลย์พอดี
ถ้าเรารักเมตตาไม่มีความประมาทในความยุติธรรม รักนั้นจะยุติธรรมได้ด้วยการเสียสละ (คือ เสียสละส่วนตน เพื่อค้ำจุนให้เกิดความยุติธรรม)
1.เราต้องไม่สร้างหรือทำทุกข์ให้เกิดกับใคร จึงจะไม่เกิดทุกข์กับตนเอง จึงจะสมดุลย์ (เฉพาะตน)
2.เราจะสร้างความสุขให้เกิดกับใคร เพราะเขาทุกข์อยู่ เราจะต้องเสียสละสุขส่วนตนให้กับเขา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เพื่อรักษาความยุติธรรม เพราะเราจะอยู่สุขสบายตามอัตภาพเฉพาะตนลำพังไม่ได้ นี่เป็นอารมณ์พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ
อะไรเล่าเป็นทุกข์ ------------> จิตเป็นทุกข์ กายเป็นทุกข์
อะไรเล่าเป็นสุข -------------> จิตเป็นสุข กายเป็นสุข
เมื่อใจเป็นทุกข์-กายเป็นทุกข์ จะทำอย่างไร ? ใจจะหายทุกข์ได้เพราะ
1. ไม่มีวิตกวิจารณ์ สังขารจิตปรุงแต่งไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะความกังวลห่วงใยไม่มี จึงไม่เกิดวิตกขึ้น ไม่มีวิจารณ์เพราะไม่มีเหตุ (วิตก) จึงไม่มีความไตร่ตรอง ไม่มีความใคร่ครวญ (สมถะหรือสมาธิ) สมดุล
2. กำหนดรู้ทุกข์ลงไป เพราะมีสาเหตุเกิดขึ้นแล้ว ต้องใช้ทั้งวิจารณ์และความใคร่ครวญ (วิปัสสนาปัญญา) ทำเหตุที่เกิดให้ยุติ (สงบ) ลงเสียก่อน แล้วค่อยใช้ปัญญาและสติ กำหนดรู้ตามแก้ไขจิต ไม่ให้ทำสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ทำทุกข์ให้เกิดขึ้น มีขึ้น เป็นขึ้นได้อีก จึงเป็นธรรม (ยุติ-ธรรม)