เวทนา ความเสวยอารมณ์สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา สติกำหนดรู้ ถึงเวทนาเหล่านี้ มีได้ทั้งทางกายทางใจ โดยทางเกิดมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เกิดภายในบ้าง เกิดภายนอกโดยอายตนะกระทบสัมผัสบ้าง ภายในที่อายตนะ ๖ เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ไม่สบาย หรือเป็นสุขได้ด้วยการระวังกาย รักษาให้หาย หรือไม่มีโรคภัยไข้เจ็บสติกำหนดรู้เวทนา รู้อารมณ์ที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันภายในใจรับรู้ถึงความสุข ความทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ความเพลิดเพลินยินดี หรือเศร้าโศก เสียใจ ดีใจอย่างไร หรืออุเบกขาเวทนา มีอารมณ์ปกติเป็นกลาง พิจารณาเวทนาที่มีในตนและผู้อื่น สัตว์อื่น กำลังเสวยทุกขเวทนา ที่กายเป็นแผลเป็นโรคภัยไข้เจ็บเป็นทุกขเวทนา ถูกความหนาว ความร้อน ความเย็น ความหิว ความกระหาย ครอบงำร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทุพพลภาพ หมดกำลังใจ เป็นทุกขเวทนาแสนสาหัส เวทนาเสวยความทุกข์ เป็นอารมณ์ เพราะมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ทุกขเวทนาอาศัยราคะ โทสะ โมหะ อวิชชาเกิดขึ้น ทุกขเวทนาเกิดขึ้น เพราะทำปาณาติบาต อทินนาทาน ทำกาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล เพราะดื่มสุราเมรัย เหล่านี้ เป็นต้น
ทุกขเวทนาเกิดขึ้น เพราะชาติความเกิด เพราะชราความแก่ เพราะมรณะความตาย โสกะความแห้งใจ ปริเทวะทุกข์ อุปายาสะ เศร้าโศก ความบ่นเพ้อ รำพัน ความทุกข์ กล่าวโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ผู้มีทุกขเวทนาเหล่านี้ ดำรงชีวิตมีความเป็นอยู่ด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญ สติพิจารณาเห็นปานนี้แล้ว ยังจะมีความเบียดเบียนข่มเหงรังแกซ้ำให้เป็นทุกข์หนักขึ้น ด้วยการฆ่าบ้าง ตีบ้าง ทำให้ได้รับความลำบากเป็นทุกข์ด้วยการลักขโมย ปล้น ชิง วิ่งราว ทรัพย์สมบัติ เอาไฟเผาเสียบ้าง กระทำย่ำยีประพฤติผิดทางกาม ทำสกุลวงศ์ให้เสียไปบ้าง โกหก หลอกลวง ฉ้อโกง ส่อเสียด ด่าว่า คำหยาบ หรือพูดเล่นตลกทำให้เสียการเสียงาน เหล่านี้นักปฏิบัติ ผู้มีปัญญา ผู้มุ่งผลคือ นิพพาน ควรมีอารมณ์เว้นไว้ให้ห่างไกล พิจารณาความเป็นโทษ เป็นเวร เป็นกรรม ไม่ควรทำ เป็นเหตุให้เวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร จะต้องเสวยทุกขเวทนาเป็นเอนกอนันต์ ควรสังเวช สลดจิต กลัวกิเลสและบาปกรรม คนผู้มีการกระทำเศร้าหมองย่อมไปนิพพานไม่ได้ ย่อมไปใช้เวรใช้กรรมรับทุกขเวทนาใหญ่ในนรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง มาเกิดเป็นมนุษย์มีร่ายวิปริตทุพพลภาพ มีอายุน้อย สั้น ตายเร็วพลัน (ถูกฆาตกรรม อุบัติเหตุ) ง่อย เปลี้ย เสียขา ตาเหล่ โรคกุฏฺฐํ เป็นต้น เหล่านี้เป็นทุกข์ที่ผู้ทำปาณาติบาตจะได้รับ เกิดเป็นคนจน คนขอทาน อดอยากข้าวปลาอาหาร ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม ไร้ที่อยู่ซัดเซพเนจร ป่วยไข้ไม่ได้รับการรักษา เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ทำอทินนาทาน
ผู้เกิดมามีศัตรูหมู่ร้าย จ้องหมายหวังจะทำอันตราย อยู่ที่ไหนก็มีผู้รังเกียจ เกิดเป็นคนลักเพศ เป็นบัณเฑาะ กะเทย เป็นชายไม่มีผู้หญิงปรารถนาเอาเป็นสามี เป็นหญิงไม่มีผู้ชายปรารถนาเอาเป็นภรรยา เกิดเป็นสัตว์ก็ถูกตอน เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ประพฤติผิดในกาม
ผู้เกิดมาแล้วถูกตู่ด้วยคำไม่จริง ไม่ได้ฆ่าเขาตายก็ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเขาตาย ไม่ได้ลักทรัพย์สมบัติสิ่งของก็ถูกกล่าวหาว่าลักทรัพย์สมบัติสิ่งของ ไม่ได้เป็นชู้ประพฤติผิดทางกาเมลูกเมียใคร เขาก็กล่าวหาว่าเป็นชู้ประพฤติผิดทางกาเมลูกเมียเขา เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบมุสาวาท ได้รับความอัปยศอดสูเป็นอันมาก
ผู้เกิดมาแล้วคบกับใครไม่ได้นาน ย่อมแตกจากมิตรสหาย แตกจากพ่อแม่ญาติ พี่น้อง บุตร ภรรยา สามี เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน
ผู้เกิดมาแล้วมักต่ำต้อยยากลำบาก มักเป็นทาสรับใช้ผู้อื่น มีความโง่เขลา จึงมักถูกบ่น ถูกว่า ถูกด่า ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามได้รับความน้อยใจอยู่เป็นนิจ เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบกล่าวคำหยาบคายมักเกิดในสกุลต่ำ
ผู้เกิดมาแล้วว่ากล่าวแนะนำ สั่งสอน ให้รู้ดีรู้ชอบ มีประโยชน์ต่อผู้ทำตาม ถึงพูดดีมีประโยชน์อย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ และไม่ทำตาม เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบพูดเพ้อเจ้อ
ผู้เกิดมาแล้วเป็นผู้มีทรัพย์ สิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไร ก็มีแต่คนอยากได้ หรือถูกทำลายข้าวของให้เสียหาย เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้มีความโลภ
ผู้เกิดมาแล้วมีผิวพรรณ วรรณะไม่ดี มักมีโรคประจำกาย ไม่มีคนเมตตามีมิตรสหายน้อย ญาติพี่น้องน้อย มีทรัพย์สมบัติไม่ยั่งยืน เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบพยาบาทปองร้ายผู้อื่น มีโทสะ
ผู้เกิดมาแล้วเป็นคนมีบาป หาความเจริญมิได้ มีทุกข์เป็นเจ้าเรือน เข้ากับใครไม่ได้ มักสร้างเวรก่อกรรมทำชั่ว ต่างหาความสุขใจได้ยาก เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้มีความเห็นผิด จากคลองธรรมที่ชอบ
ผู้เกิดมาแล้วเป็นบ้า ปัญญาอ่อน สติปัญญาไม่ดี เหล่านี้เป็นทุกขเวทนาของผู้ชอบดื่มสุราเป็นประจำ
ผู้ปฏิบัติพิจารณาสุขเวทนาที่ตรงกันข้ามกับทุกเวทนาแล้วนึกถึงกรรม คือ การกระทำอันเป็นต้นเหตุแห่งสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา แล้วสติย่อมตั้งมั่นรู้ชัดตามเป็นจริงของสุขของทุกข์ ความที่จิตเป็นอุเบกขาในเวทนาทั้งหลาย เพราะเวทนาก็สักเป็นเวทนา เพาระอาศัยจิตรู้ และเป็นอนิจจังไม่ตั้งอยู่ตลอดไป เปลี่ยนกันเกิดขึ้นเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยววางเฉยเวทนาไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่อยู่ในเวทนา เวทนาไม่มีอยู่ในเรา ถ้าเราจะสักกายทิฏฐิไม่มีอุปาทานยึดถือ เป็นเพียงสิ่งๆหนึ่งที่จิตมีตัวรู้ รู้ในสิ่งๆหนึ่ง สิ่งนั้นเป็นเพียงสักว่าจะเป็นเวทนาก็ไม่ใช่ เพียงแต่จิตไปจับอาการความรู้สึกที่ผิดปกติเข้า ที่สมมติว่าเป็นสุขเวทนา เป็นทุกขเวทนา เป็นโสมนัสเวทนา เป็นโทมนัสเวทนา จิตเมื่อรับรู้อารมณ์เหล่านี้แล้ว จิตก็เข้าปกติเรียกว่า อุเบกขาเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ สติบริสุทธิ์ จิตเป็นสมาธิตั้งมั่น มีตัวรู้อย่างเดียวไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งปวง สังขารตัวปรุงแต่งก็ไม่มี เพราะดับไปกับสุขกับทุกข์แล้วจิตรู้เลยสังขาร ผ่านสังขารแล้วตั้งรู้ หยุดดู หยุดเห็น มองดูรู้อยู่ เห็นอยู่ ซึ่งความดับสิ้นไปแห่งสังขารโลก สังขารธรรม จิตบริสุทธิ์เพราะไม่มีเวทนาเพราะผัสสะตัวกระทบมันดับเหลือแต่ตัวรู้ ไม่ใช่นาม ไม่ใช่รูป และไม่ใช่วิญญาณเพราะสังขารไม่มี อวิชชาดับเป็นวิชารู้ที่เกิดในจิต เป็นมโนธรรม แก่นธรรม จิตดับลับหาย กลายเป็นรู้ที่ไปในรู้นั่นแหละ