ความรักคืออะไร
ความรักคืออะไร? รู้ไหม? ถ้าไม่รู้ก็พ้นจากความรักไม่ได้ จะต้องได้รับทุกข์เพราะความรัก จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งหลาย เกิดแล้วในภพใด ความรักก็กินใจในภพนั้น ใจที่มีความรักจะถูกทรมาน เจ็บปวดทุกข์ระทมบ่นเพ้อเพราะพิษรักนั้นเสียบแทงใจ เหมือนถูกลูกศรร้อยใจไว้ไม่ให้ดุกดิกดิ้นรน คนที่มีกำลังใจน้อย หรืออ่อนใจซบเซากับความรัก มอบตัวมอบใจให้เป็นทาสของความรัก แล้วบูชารัก บูชาคนรักให้เป็นเทพเจ้า ตามแต่คนรักหรือเทพเจ้าจะชักจูงดึงลากให้กระทำสิ่งใดๆ ที่คนไม่มีความรักทำไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่เป็นทาสของความรักทำได้ แม้ด้วยชีวิตบูชาเทพเจ้าคือผู้ที่ตนรักได้ด้วยความภักดี จะหาทาสที่ภักดี จงรักสัตย์ซื่อเสมอทาสแห่งความรักไม่มี ยินดีพร้อมที่จะตายตายด้วยความเต็มใจ ตายให้สมกับความรัก ความรักมีค่าเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใด ไม่อย่างนั้นแล้วจะสละชีวิตเพื่อบูชารักไม่ได้
เมื่อเรามีความรักใคร่ปรารถนาสิ่งใด ใจก็จะเรียกร้องต้องการหาให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ทั้งชอบธรรมและไม่ชอบธรรม เมื่อใจปรารถนาจะรักให้ได้แล้ว ไม่คำนึงถึงเหตุผลของผู้อื่นนอกจากผู้ที่ตนรัก จะอยู่ในฐานะสภาพเช่นไร ไม่เป็นอุปสรรคที่จะมีรัก รักแท้ รักจริง จึงเสียสละละทิ้งอย่างมากมาย ต้องสละทิ้งทั้งโลก เพราะโลกทั้งโลกเต็มไปด้วยความรัก โลกทั้งโลกอันมีผู้ปรารถนาต้องการแล้วมีความรักอยู่ทั่วไป โลกนี้จึงตระการตาดุจราชรถของพระราชา ซึ่งประดับตกแต่งด้วยของมีค่า ด้วยเงินทอง รัตนะต่างๆ พร้อมด้วยรูปลวดลาย จำหลักอันวิจิตรพิสดารต่างๆ ล้วนน่าดูชม เป็นที่ชอบใจพอใจของผู้ที่มีความรัก ความปรารถนา หาได้พิจารณาถึงสิ่งอันประกอบเข้าเป็นตัวราชรถ อันต้องเก่า ผุพัง ถูกความชราครอบงำ ต้องหลุดลุ่ยเพราะพยาธิ มด ปลวกอันชอนไชกัดทำลายอยู่ภายในเครื่องสำหรับยึด ของมีค่าประดาตกแต่งก็ไม่สามารถยึดไว้ได้ ต้องตกร่วงกระจัดกระจายทิ้งไปเหมือนไม่อาวรณ์ อาลัยใยดี ปล่อยให้ผู้มาเห็น ณ ภายหลังรันทดใจ เศร้าใจ สังเวชสลดจิต คิดตามรู้ ตามสภาพเป็นจริงของสิ่งทั้งมวลว่า พวกผู้โง่เขลาหมกอยู่ ติดอยู่ หลงอยู่ แต่พวกผู้รู้ตามเป็นจริงหาเกี่ยวข้องด้วยไม่ เพราะการแสวงหาสิ่งประดับตกแต่งทั้งมวลเป็นการเนิ่นช้าเสียเวลาเปล่า ไม่เป็นไปตามปรารถนาของผู้ต้องการประดับ ไม่จีรังในสิ่งทั้งมวล หาสาระแก่นสารสำคัญไม่ได้ ผู้มีปัญญาทราบแล้วจึงละไม่แสวงหา เครื่องประดับตกแต่งอีก เพราะเห็นโทษในการเสียเวลา หาเครื่องประดับและในการตกแต่ง ได้แต่คิดคำนึงถึงความเสื่อม ความสิ้นของโลกของสังขาร แล้วอยู่อย่างสงบ ทำจิตใจให้สบายด้วยการไม่เกี่ยวข้อง กับโลกอนิจจํ เห็นโลก เห็นสังขารเหมือนราชรถของพระราชาที่มีความคร่ำคร่าทรุดโทรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญใจของผู้พบเห็น ผู้มีปัญญาไม่ยอมเสียเวลากับสิ่งที่ต้องสูญสลายไปเปล่าๆ พยายามมองค่าของทุกสิ่งด้วยความรู้ตามเป็นจริง ถือเอาประโยชน์ชั่วคราวในสิ่งนั้นๆ ไม่พอใจที่จะยึดถือเป็นจริงเป็นจัง เพราะทราบชัดตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ แล้วว่าความรักคืออะไร? ความรักคือความเมตตา จะตัดความรักก็ต้องตัดเมตตา! พระศาสดาทรงสอนให้แผ่เมตตาไปยังทิศทั้งปวง เมื่อเราไปอยู่ ณ สถานที่ทิศใด อยู่ในหมู่ใด คณะใด ในหมู่สัตว์ สมณะ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร ก็พึงประกอบอยู่ด้วยเมตตา ความรักในหมู่คณะเหล่านั้น ในสถานที่นั้น ผู้มีเมตตาความรักก็ย่อมอยู่สบายเป็นสุข ไม่ถูกหมู่คณะหรือสถานที่นั้นเบียดเบียน แต่พระศาสดาทรงห้ามภิกษุแผ่ความรักเมตตาในมาตุคาม คือหญิงชาวบ้าน เพราะจะทำให้ภิกษุได้รับความทุกข์ใจ ร้อนใจจนบวชทนอยู่ไม่ได้ต้องสึกไปหาหญิงนั้น และจะได้รับทุกข์โทษต่างๆ ต้องตรากตรำทำการงานสารพัดไม่ได้พักผ่อนนอนหลับอย่างสบาย ต้องทำหน้าที่สามีอย่างครบถ้วน จะถูกรบกวนจิตใจอยู่เสมอ สงบไม่ได้ เป็นนักต่อสู้ตลอดเวลา จนกว่าเบื่อหน่ายคลายความรักลง จึงค่อยปลด ค่อยวาง ค่อยบรรเทาความทุกข์ร้อนในเรื่องความรักได้บ้าง แล้วชักชวนลากจูง เคี่ยวเข็ญ กระทำความดีให้ใจนั้นมีเมตตารักใคร่ในทาน ในศีล ในภาวนา แล้วพิจารณากรรม คือการกระทำของโลก ของหมู่สัตว์ หมู่คนในโลกที่ลุ่มหลง มัวเมา ในรสรัก รสเมตตา ล้วนไม่ตลอด ตกอยู่ จมอยู่กับความคร่ำคร่าจำเจ ถูกชราครอบงำ แก่เฒ่าเจ็บป่วยแล้วก็ตายจากกัน เหมือนไม่มีความอาลัยใยดี เจ้าเมตตา ความรักมันหดหายตายจากพรากทิ้งอย่างไม่เหลือเยื่อใย แม้แต่ซากของความรักก็ต้องถูกฝัง ถูกเผาไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก นี่แหละ! ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเมตตาในหมู่เทวดา มนุษย์ทั้งหลายแล้วก็ทรงสอน การแผ่เมตตา ความรักใคร่ให้แก่ตนเองก่อน ให้มีความรักใคร่ในตนแล้วจะได้ขวนขวายประโยชน์ตน ให้ตนของตนพ้นจากทุกข์ จากภัย จากอันตรายต่างๆ ทั้งในปัจจุบันชาตินี้ อนาคตภายหน้าชาติหน้า อย่าได้เป็นผู้ไร้สติขาดปัญญา พิจารณาความเป็นจริง ของโลก ของสัตว์โลกที่เกิดมาพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วดิ้นรนเดือดร้อนเป็นทุกข์ในความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น มุ่งหาทางพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายโดยเร็วพลัน อย่าทันให้ความแก่ ความเจ็บ ความตายมาถึงครอบงำเอาเสียแล้ว เดี๋ยวจะหมดกำลังกาย กำลังใจ แสวงหาธรรมเครื่องพ้นทุกข์ไม่ได้ แล้วจะต้องเศร้าโศกาตลอดกาลนาน วัฏฏะสงสารเป็นของน่ากลัวอย่างยิ่ง
ส่วนมากแล้วผู้ที่จะรักตนปฏิบัติตนให้ตนมีความสามารถข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุราชคือ ความรักได้ยากนัก จึงได้วนเวียนอยู่ในภพ เปลี่ยนที่อยู่อาศัย เปลี่ยนร่างกาย เปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด แต่จะเปลี่ยนจิตใจห้ามใจไม่ให้รักไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกข์โศก ร่ำไรรำพันเพ้อถึงความรักที่ไม่สมประสงค์ว่า น้ำตาที่ร้องไห้มากมายกว่า ๔ มหาสมุทร เนื้อและกระดูกมากกว่าภูเขาสูง ที่สัตว์โลกเวียนไปมาในวัฏฏะสงสาร อันยาวนานเพราะมีความรักเป็นปัจจัย หาปัจจัยดับความรักไม่ได้ เพราะไม่รู้ หลง ความรักคืออะไรไม่ทราบ จึงละความรัก ดับความรัก คลายรักอย่างจริงจังไม่ได้ เมื่อรู้ซึ่งถึงเหตุต้นอันพระองค์แสดงชัดแล้ว ผู้มีความปรารถนาพ้นบ่วงมัจจุราช คือความรักแล้ว กลัวภัยแต่ทุกข์ของความรักแล้วก็มาละเหตุคือเมตตามีความรักใคร่ในคนรัก ในสรรพวัตถุต่างๆ ทั้งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง ละความยินดีพอใจในสิ่งเหล่านั้น ทั้งหมดเสีย ละพ่อแม่ พี่น้อง บุตร ภรรยา สามี บ้านเรือน ไร่นาเทือกสวน แม้ชีวิตก็ละสละหมด เป็นผู้ไม่มีความกังวลในสิ่งใดๆ ใจก็สงบตั้งมั่น เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแล้วก็พิจารณาถึงสิ่งทั้งหลายที่เราละได้เป็นเด็ดขาด ถึงจะมีผู้ประสงค์ให้ก็ไม่พึงยินดีรับ ประสงค์ความบริสุทธิ์ ถือเอาตามจำเป็นไม่ผิดศีลธรรม รับมาด้วยความยุติธรรม มีปกติอยู่ด้วย จาคานุสสติ จำสละ จำทิ้ง ละความปรารถนาใดๆ ในโลก ละอุปทานโลก เป็นการสละคืนโลกทิ้งไว้โดยเป็นของโลกก็เท่ากับเป็นการละโลก ละการถือมั่นโลก ปล่อยวางทุกอย่างเป็นการละโลภะ ความโลภในสิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านั้นความโกรธจะเกิดจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ ความหลงในสิ่งทั้งหลาย เหล่านั้นก็ดับลง จิตก็ไม่ตั้งอยู่ในโลก ภพอันเป็นที่อยู่ของจิตก็ไม่มี เพราะจิตไม่ตั้งอยู่ในสิ่งใด ใจท่านว่าง วิมุตติหลุดพ้นจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นี่เอง
System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]System.String[]